สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียน
ตีนเป็ด

ต้นไม้ประจำจังหวัด
|
สมุทรสาคร
|
ชื่อพันธุ์ไม้
|
สัตบรรณ
|
ชื่อสามัญ
|
White Cheesewood
|
ชื่อวิทยาศาสตร์
|
Alstonia scholaris R. Br.
|
วงศ์
|
APOCYNACEAE
|
ชื่ออื่น
|
กะโนะ
(กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน), จะบัน (เขมร-ปราจีนบุรี), ชบา ตีนเป็ด พญาสัตบรรณ (ภาคกลาง), ตีนเป็ดขาว (ยะลา), บะซา ปูแล ปูลา (มลายู-ปัตตานี), ยางขาว (ลำปาง), สัตตบรรณ (ภาคกลาง, เขมร-จันทบุรี) หัสบัน (กาญจนบุรี)
|
ลักษณะทั่วไป
|
เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่
ลำต้นเป็นพูพอน เปลือกสีเทาดำ มียางสีขาว ใบเป็นใบเดี่ยวออกเป็นวงรอบๆ ข้อ
แผ่นใบเป็นรูปไข่กลับ ปลายใบมนเว้าเข้าเล็กน้อย เส้นใบถี่ขนานกัน
ออกดอกเป็นกระจุกช่อใหญ่สีขาวที่ปลายกิ่ง ก้านช่อดอกออกซ้อนกันเหมือนฉัตรประมาณ 2–3
ชั้น
กลีบรองดอกมีขนาดเล็ก มีขนสีขาวอมเหลืองนวล กลิ่นหอม
ผลเป็นฝักยาวเหมือนถั่วฝักยาว เมื่อแก่จัดจะแตกเป็น 2 ซีก มีเมล็ดจำนวนมาก
ลักษณะเมล็ดเป็นรูปขนานแบนๆ
|
ขยายพันธุ์
|
เพาะเมล็ด
|
สภาพที่เหมาะสม
|
ดินร่วนซุย
แสงแดดจัด
|
ถิ่นกำเนิด
|
หมู่เกาะโซโลมอนและมาเลเซีย
และป่าดงดิบภาคใต้ ตะวันออกเฉียงใต้ และภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศไทย
ต้นพญาสัตบรรณ
(ต้นตีนเป็ด)
![]() |
ตีนเป็ด
เป็นไม้พื้นบ้านของไทย จัดอยู่ในวงศ์ Apocynaceae พันธุ์ไม้วงศ์นี้มีทั้ง ไม้ยืนต้น
ไม้พุ่ม ไม้ล้มลุก และจำนวนมากที่เป็นเถา กระจายพันธุ์อยู่ในเขตร้อน ทั่วโลก
และเป็น ไม้ประดับที่นิยมปลูกกันมาก เช่น ยี่โถ รำเพย พังพวยฝรั่ง เป็นต้น
ลักษณะเด่นของพันธุ์ไม้วงศ์นี้ สังเกตได้ง่ายจากน้ำยางสีขาว
ใบแบบขึ้นตรงกันข้ามหรือเป็นวงรอบ กิ่งดอกตูม
ซึ่งมีกลีบดอกเวียนซ้อนทับไปทางเดียวกัน ผลเป็นแบบฝักคู่เชื่อมติดกับฐาน ตีนเป็ด
ถือว่าเป็นไม้โตเร็วชนิดหนึ่งที่ควรทำการศึกษา เนื่องจากเนื้อไม้ของตีนเป็ด
สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง
ประกอบกับเป็นไม้ที่ไม่ทิ้งใบทำให้พื้นที่เขียวชะอุ่ม ดินชุ่มชื้น
จึงสามารถนำไปปลูกเพื่อช่วยฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมได้ดีทั้งยังมีนวทางที่น่าสนใจสำหรับ
ผู้ที่จะปลูกเพื่อหวังผลทางเศรษฐกิจ
เพราะไม้ตีนเป็ดมีผู้สนใจอบถามกันมากในการใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมการทำดินสอดำในบ้านเรา
ตีนเป็ด เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ สูง 35-40 ม.เรือนยอดของต้นเล็กรูปเจดีย์
ต้นใหญ่ เรือนยอดค่อนข้างแบน โคนต้นมักจะเป็นพูพอนลำต้นเป็นร่องตามยาว
เปลือกสีเทาหรือเทาอมเหลือง
หรือสีน้ำตาลถึงน้ำตาลแดงค่อนข้างหนาแต่เปราะเรียบหรือแตกเป็นร่องเปลือก
ชั้นในสีน้ำตาลมีน้ำยางสีขาวไหลมาก
ดอกขนาดเล็กสีขาวอมเขียว
ออกดอกเป็นช่อตามปลายกิ่ง ปากท่อของกลีบดอกมีขนยาวปุกปุย
ผลเป็นฝักกลมยาวเรียวเกลี้ยงและห้อยลงสู่พื้นดิน
ฝักออกเป็นคู่ขนาดโตเส้นผ่าศูนย์กลาง 2-5 ซม. ยาว 30-40 ซม. เมล็ดภายในรูปทรงบรรทัดแคบ ๆ ยาวประมาณ
7
มม. มีขนยาวอ่อนนุ่มปุกปุยติดอยู่เป็นกระจุกที่ปลายทั้งสองข้าง
เมื่อฝักแก่จะแตกออกเมล็ดซึ่งมีขนจะปลิวกระจายไป ตามลม ระยะเวลาการเป็นดอกผล
ดอกเริ่มบานประมาณเดือนตุลาคม-ธันวาคม และจะเริ่มติดฝักประมาณเดือนมกราคม
ลักษณะเนื้อไม้มีมีแก่น เนื้อไม้สีขาวอมเหลือง เสี้ยนตรง เนื้อหยาบ
แต่สม่ำเสมอค่อนข้างเหนียว เนื้ออ่อนไสกบตบแต่งง่ายมาก ความถ่วงจำเพาะประมาณ 0.41
การกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติ
ไม้ตีนเป็ดมีเขตการกระจายพันธุ์ทั่วทุกภาคของประเทศไทย ลักษณะการขึ้น
มักกระจัดกระจายอยู่ห่าง ๆ กัน ไม่พบอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม การกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติค่อนข้างต่ำ
มักไม่พบลูกไม้บริเวณใต้ลำต้นหรือใกล้เคียงต้นแม่ในป่าธรรมชาติ
มักพบอยู่ในบริเวณป่าที่ราบบริเวณป่าพง
และริมลำห้วยทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
พบขึ้นอยู่ตามริมห้วยในป่าเบญจพรรณ ไม่พบไม้ตีนเป็ดในป่าเต็งรังหรือบริเวณป่าที่สูงในป่าดงดิบทางภาคใต้และภาคตะวันออกเฉียงใต้
จะขึ้นทั่วไปตามชายป่าพรุ และในป่าที่ลุ่มตั้งแต่ระดับน้ำทะเลปานกลางถึง 1,000 ม. ซึ่งสามารถพบเห็นได้ประปราย 2 ข้างถนนหลวง
ในต่างประเทศพบที่อินเดียว จีนตอนใต้ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และควีนแลนด์
การเพาะกล้าไม้ตีนเป็ด
ก่อนอื่นต้องมีเมล็ดพันธุ์ที่ดีเสียก่อน
การเลือกเก็บเมล็ดพันธุ์จากต้นแม่ที่ดีจะให้กล้าไม้คุณภาพดี
ซึ่งเมื่อนำไปปลูกสร้างสวนป่าก็จะให้ผลผลิตเนื้อไม้ ที่ดีด้วย
การเลือกแม่ไม้เพื่อเก็บเมล็ดต้องดูว่ามีลักษณะลำต้นเปลาตรง สูงเด่น และมีเรือนยอด
ที่สมบูรณ์ ลำต้นแข็งแรง ไม่มีโรคและแมลงรบกวน
เมื่อเลือกหาแม่ไม้ที่ดีได้แล้วควรเก็บเมล็ด ให้ถูกต้องตามฤดูกาล
เนื่องจากเมล็ดของต้นตีนเป็ดมีขนาดเล็กเบามีขน
เมื่อฝักแก่จะแตกออกทำให้เมล็ดภายในปลิวกระจายไปตามลม
หากปล่อยให้ฝักแตกแล้วจะไม่สามารถเก็บเมล็ดได้โดยทั่วไปจะเก็บเมล็ดได้ราวเดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนเมษายน
ซึ่งแต่ละท้องที่จะแตกต่างกัน เนื่องจากสภาพภูมิอากาศ ความชื้น และปัจจัยต่าง ๆ
ที่ต้นตีนเป็ดขึ้นอยู่
ถ้าต้นแม่ที่เลือกอยู่ในเขตภาคเหนือและอีสานจะแตกต่างกันมากกับตีนเป็ดที่ขึ้นทางภาคใต้
ขึ้นอยู่กับการคอยสังเกตดูว่า ต้นแม่นั้นออกดอกเมื่อใดและเป็นฝักเวลาใด
การเก็บเมล็ดบนลำต้นใช้วิธีสอยฝัก ลักษณะฝักแก่เป็นสีน้ำตาล แต่ถ้าปล่อยให้ฝักเป็นสีน้ำตาลหมดทั้งฝักเป็นการเสี่ยงต่อโอกาสที่ฝักจะแตก
และเมล็ดปลิวกระจายไปได้ง่าย ควรเก็บเมื่อฝักห่ามใกล้แก่
สีของฝักเป็นสีน้ำตาลปนเขียว ฝักที่เก็บได้จะต้องนำมาตากแดดประมาณ 2 วัน ฝักจะแตกสามารถแยกเอาเมล็ดออกได้
การตากมีข้อควรระวัง คือ เมื่อฝักแตกเมล็ดจะถูกลมปลิวต้องใช้มุ้งลวดพลาสติก
คลุมฝักเอาไว้ตลอดเวลาที่ตากเมล็ดที่แยกออกจากฝักแล้วหากไม่นำไปเพาะทันทีจะต้องเก็บไว้ในสภาพปลอดความชื้นด้วยการเก็บใส่ถุงพลาสติกปิดสนิท
แล้วเก็บไว้ในอาคารหรือตู้เย็นอัตราการงอกของเมล็ดที่เก็บมาจาก ต้นใหม่ ๆจะดีกว่าเมล็ดที่เก็บค้างปีเอาไว้

ใบพญาสัตบรรณ ออกเป็นกลุ่มที่บริเวณปลายกิ่ง
โดยหนึ่งช่อจะมีใบประมาณ 5-7 ใบ ใบมีสีเขียวเข้ม ใบยาวรี ปลายใบมนโคนใบแหลม ขนาดของใบยาวประมาณ 10-12
เซนติเมตร
ก้านใบสั้นเมื่อเด็ดออกจะมีน้ำยาวสีขาว
ดอกพญาสัตบรรณ ออกดอกเป็นช่อคล้ายดอกเข็ม
ออกดอกที่ปลายกิ่งหรือส่วนยอดของลำต้น หนึ่งช่อจะมีกลุ่มดอกประมาณ 7 กลุ่มดอกมีขาวอมเหลืองหรือเขียว
ดอกมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ
ผลพญาสัตบรรณ ผลออกเป็นฝัก ลักษณะฝักยาว
เป็นฝักคู่หรือฝักเดี่ยว ลักษณะเป็นส้น ๆ กลมเรียวมีความประมาณ 20-30 เซนติเมตร เมื่อแก่จะแตกเป็น 2 ซีก มีขุยสีขาวสามารถปลิวไปตามลมได้ ส่วนในฝักจะมีเมล็ดเล็ก
ๆ จำนวนมากลักษณะเป็นรูปขนานแบน ๆ ติดอยู่กับขุย
สรรพคุณของพญาสัตบรรณ
- เปลือกต้นมีรสขม
ใช้เป็นยาขมช่วยให้เจริญอาหาร (เปลือกต้น)
- เปลือกต้นสัตยาบรรณ
สรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด รักษาโรคเบาหวาน (เปลือกต้น)
- น้ำยางจากต้นใช้หยอดหูแก้อาการปวดหูได้
(ยาง)
- น้ำยางจากต้นใช้อุดฟัน
เพื่อแก้อาการปวดฟันได้ (ยาง)
- ใบอ่อนใช้ชงดื่มช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน
หรือโรคลักปิดลักเปิดได้ (ใบ)
- เปลือกต้นใช้แก้หวัด แก้อาการไอ
รักษาหลอดลมอักเสบ (เปลือกต้น)
- ช่วยแก้ไข้ (เปลือกต้น,ใบ)
- ดอกช่วยแก้ไข้เหนือ ไข้ตัวร้อน (ดอก)
- เปลือกต้นต้มน้ำดื่ม
สรรพคุณช่วยรักษาโรคมาลาเรีย (เปลือกต้น)
- ช่วยแก้โลหิตพิการ (ดอก)
- ใบพญาสัตบรรณ
สรรพคุณช่วยรักษาโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรังได้ (ใบ)
- เปลือกต้นพญาสัตบรรณช่วยรักษาโรคบิดท้องร่วง
ท้องเดินเรื้อรัง โรคลำไส้และลำไส้ติดเชื้อ (เปลือกต้น)
- เปลือกต้นใช้เป็นยาสมานลำไส้ได้ (เปลือกต้น)
- ช่วยบำรุงกระเพาะ (ยาง)
- กระพี้ สรรพคุณช่วยขับผายลม (กระพี้)
- ช่วยขับพยาธิไส้เดือน (เปลือกต้น)
- ช่วยขับน้ำเหลืองเสีย (เปลือกต้น)
- ช่วยขับระดูของสตรี (เปลือกต้น)
- ช่วยขับน้ำนม (เปลือกต้น)
- ใบใช้พอกเพื่อดับพิษต่างได้ (ใบ)
- ในประเทศอินเดียมีการใช้ใบและยางสีขาวในการนำมาใช้รักษาแผล
แผลเปื่อย และอาการปวดข้อ (ใบ,ยาง)
- ยาง ใช้แผลที่เป็นตุ่มหนอง
ช่วยทำให้แผลแห้งเร็ว (ยาง)
- เปลือกต้นใช้ต้มน้ำอาบช่วยรักษาผดผื่นคัน
(เปลือกต้น)
ประโยชน์ของพญาสัตบรรณ
- พญาสัตบรรณเป็นพืชที่มีฤทธิ์ทางอัลลีโลพาที
(Allelopathy) สารสกัดจากใบพญาสัตบรรณสามารถช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของต้นคะน้า
ส่วนสารสกัดจากเปลือกของลำต้นก็จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของข้าวโพด ข้าว
ถั่วเชียวผิวดำ ถั่วเขียวผิวมัน และคะน้าได้
- เนื้อไม้สามารถนำไปทำทุ่นของแหและอวนได้
(ในบอร์เนียว)
- เนื้อไม้หยาบ
อ่อนแต่เหนียวสามารถใช้ทำหีบใส่ของ หีบศพ ทำโต๊ะ เก้าอี้
ฝักมีดของเล่นสำหรับเด็ก รองเท้าไม้ หรือไม้จิ้มฟันได้
- เนื้อไม้ ใช้ทำฟืน
หรือนำใช้ทำโครงสร้างส่วนต่าง ๆของบ้าน เช่น เสาบ้าน เป็นต้น
- สารสกัดจากน้ำมันหอมระเหยของดอกพญาสัตบรรณ
สามารถใช้ไล่ยุงได้
- ต้นพญาสัตบรรณนอกจากจะปลูกไว้เพื่อให้ร่มเงา
และยังเป็นไม้มงคลนาม ที่นิยมปลูกไว้ประจำบ้านเพื่อความเป็นสิริมงคลอีกด้วย
- ต้นพญาสัตบรรณจัดเป็นไม้มงคลนาม ปลูกเพื่อความเป็นสิริมงคล เพราะคนโทยโบราณเชื่อว่าการปลูกต้นพญาสัตบรรณไว้ประจำบ้านจะทำให้มีเกียรติยศ จะทำให้ได้รับการยกย่องและการนับถือจากบุคคลทั่วไป ซึ่งความหมายของต้นก็มาจากคำว่าพญา ซึ่งมีความหมายว่า ผู้เป็นใหญ่ที่ควรยกย่องและเคารพนับถือ ส่วนคำว่า สัต ก็มีความหมายว่า สิ่งที่ดีงาม ความมีคุณธรรมนั่นเอง และตามความเชื่อจะนิยมปลูกต้นพญาสัตบรรณไว้ทางทิศเหนือและผู้ปลูกควรปลูกในวันเสาร์ แต่ถ้าอยากให้เป็นมงคลยิ่งขึ้นไปอีกผู้ปลูกควรเป็นผู้ใหญ่ที่เป็นที่เคารพนับถือหรือเป็นผู้ที่ประกอบคุณงามความดี ก็จะเป็นสิริมงคลมากยิ่งขึ้น
วิดีโอ
อ้างอิง
http://www.panmai.com/PvTree/tr_61.shtml
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น